บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ผลการใช้วิธีสอนแบบเอริกา (Erica Model) ร่วมกับเทคนิคการตั้งคำถามของบลูมและเทคนิคผังกราฟิก โดยใช้นิทานพื้นบ้านอำเภอหาดใหญ่ ที่มีต่อความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1



บทคัดย่อ
ชื่อผลงาน   :  ผลการใช้วิธีสอนแบบเอริกา (Erica Model)  ร่วมกับเทคนิคการตั้งคำถามของบลูม
                       และเทคนิคผังกราฟิก โดยใช้นิทานพื้นบ้านอำเภอหาดใหญ่ ที่มีต่อความสามารถ   
                      ในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษและความสามารถในการคิดวิเคราะห์  
                       ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ชื่อ-สกุลผู้ทำผลงาน : นางสุภิญญา  ยีหมัดอะหลี
ตำแหน่ง :    ครู วิทยฐานะ ชำนาญการ โรงเรียนเทศบาล ๑ (เอ็งเสียงสามัคคี)

การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษก่อนและหลังเรียน โดยใช้วิธีสอนแบบเอริกา (Erica Model)  ร่วมกับเทคนิคตั้งคำถามของบลูมและเทคนิคผังกราฟิก  โดยใช้นิทานพื้นบ้านอำเภอหาดใหญ่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1  2) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ก่อนและหลังเรียน โดยใช้วิธีสอนแบบเอริกา (Erica Model)  ร่วมกับเทคนิคตั้งคำถามของบลูมและเทคนิคผังกราฟิก โดยใช้นิทานพื้นบ้านอำเภอหาดใหญ่  ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1   3)   ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อวิธีสอนแบบ เอริกา (Erica Model)  ร่วมกับเทคนิคตั้งคำถามของบลูมและเทคนิคผังกราฟิก โดยใช้นิทานพื้นบ้านอำเภอหาดใหญ่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประชากรที่ใช้ในครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โรงเรียนเทศบาล 1(เอ็งเสียงสามัคคี)  ทั้งหมด 283 คน ภาคเรียนที่ 2
 ปีการศึกษา 2555   กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โรงเรียนเทศบาล 1  (เอ็งเสียงสามัคคี) จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 40 คนโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling)   เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย  1) แผนจัดการการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ โดยใช้ขั้นตอนของวิธีสอนแบบเอริกา (Erica Model)  ร่วมกับเทคนิคตั้งคำถามของบลูมและเทคนิคผังกราฟิก โดยใช้นิทานพื้นบ้านอำเภอหาดใหญ่   จำนวน 7 แผน     2)  แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 2 ฉบับ ฉบับละ 30 ข้อ     สำหรับทดสอบก่อนและหลังการใช้วิธีสอนแบบเอริกา     (Erica Model)     ร่วมกับเทคนิคการตั้งคำถามของบลูมและเทคนิคผังกราฟิก    โดยใช้นิทานพื้นบ้านอำเภอหาดใหญ่        3)    แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก  จำนวน 2 ฉบับ  ฉบับละ 30 ข้อ สำหรับทดสอบก่อนและหลังการใช้วิธีสอนแบบ เอริกา (Erica Model)  ร่วมกับเทคนิคตั้งคำถามของบลูมและเทคนิคผังกราฟิก โดยใช้นิทานพื้นบ้านอำเภอหาดใหญ่    4)  แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อวิธีสอนแบบเอริกา (Erica Model)  ร่วมกับเทคนิคตั้งคำถามของบลูมและเทคนิคผังกราฟิก โดยใช้นิทานพื้นบ้านอำเภอหาดใหญ่  จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่  ค่าเฉลี่ย    ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน  และ t-test for Dependent Samples
               
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1.  ความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีสอนแบบ เอริกา (Erica  Model)  ร่วมกับเทคนิคตั้งคำถามของบลูมและเทคนิคผังกราฟิก โดยใช้นิทานพื้นบ้านอำเภอหาดใหญ่  หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
2.  ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้วิธีสอนแบบ เอริกา (Erica Model)  ร่วมกับเทคนิคตั้งคำถามของบลูมและเทคนิคผังกราฟิก โดยใช้นิทานพื้นบ้านอำเภอหาดใหญ่ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3.  ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีสอนแบบ  เอริกา (Erica Model)  ร่วมกับเทคนิคตั้งคำถามของบลูมและเทคนิคผังกราฟิก โดยใช้นิทานพื้นบ้านอำเภอหาดใหญ่ อยู่ในระดับมาก

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รายงานผลการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยใช้การเล่นพื้นบ้านไทยของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล ๑ (เอ็งเสียงสามัคคี) อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

ชื่อเรื่อง                            รายงานผลการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยใช้การเล่นพื้นบ้านไทยของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล ๑                  (เอ็งเสียงสามัคคี)  อำเภอหาดใหญ่  จังหวัดสงขลา
ผู้วิจัย                                   นางกัญธิรา มาสชรัตน์
ตำแหน่ง                               ครู  วิทยฐานะครูชำนาญการ
ปีการศึกษา                           2555

บทคัดย่อ
                               
                          รายงานผลการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยใช้การเล่นพื้นบ้านไทย                    ของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล ๑ (เอ็งเสียงสามัคคี) อำเภอหาดใหญ่  จังหวัดสงขลา มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยใช้การเล่นพื้นบ้านไทยของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล ๑ (เอ็งเสียงสามัคคี) อำเภอหาดใหญ่  จังหวัดสงขลา           2)เพื่อเปรียบเทียบพัฒนาการทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยใช้การเล่นพื้นบ้านไทยของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล ๑ (เอ็งเสียงสามัคคี) อำเภอหาดใหญ่  จังหวัดสงขลา ก่อนและหลังจัดประสบการณ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้  ได้แก่  เด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2  อายุระหว่าง 5-6 ปี โรงเรียนเทศบาล ๑ (เอ็งเสียงสามัคคี)อำเภอหาดใหญ่  จังหวัดสงขลา  ภาคเรียนที่ 1  ปีการศึกษา 2555 จำนวน 1 ห้องเรียน ได้แก่ ห้องอนุบาล 2/3 จำนวน 28 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) (กัลยา  วานิชย์บัญชา, 2550:24)
             ตัวแปรที่ศึกษา  ตัวแปรต้น ได้แก่  การจัดประสบการณ์โดยใช้การเล่นพื้นบ้านไทย    ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ใน 6 ด้านของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล ๑ (เอ็งเสียงสามัคคี)  ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย 1) ทักษะ             การสังเกตความเหมือนความต่าง  2) ทักษะการเปรียบเทียบขนาดรูปร่างและปริมาณ (ใหญ่ - เล็ก มาก - น้อย)  3) ทักษะการเรียงลำดับ ความสูง - เตี้ย  ความยาว - สั้น   4)ทักษะการบอกตำแหน่ง  บน-ล่าง  ใน- นอก  ซ้าย -ขวา  หน้า- หลัง  ตรงกลาง 5) ทักษะในการเปรียบเทียบจำนวน เท่ากัน- ไม่เท่ากัน มากกว่า น้อยกว่า  6)ทักษะการนับจำนวน1 - 20 และการรู้ค่า จำนวน 1 - 10                  และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย  ได้แก่  การเล่นพื้นบ้านไทย จำนวน 15 ชนิด   แผนการจัดประสบการณ์โดยใช้การเล่นพื้นบ้านไทย  45 แผน และแบบประเมินพัฒนาการทักษะพื้นฐาน          ทางคณิตศาสตร์
         
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
                  1. ผลการสังเกตพฤติกรรมด้านทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยใช้การเล่น           พื้นบ้านไทย  พบว่า
                  1.1  ทักษะด้านการสังเกตความเหมือน  ความต่าง  มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.57 คิดเป็นร้อยละ 79.76
                 1.2  ทักษะด้านการเปรียบเทียบขนาดรูปร่าง  ปริมาณใหญ่ - เล็ก  มาก - น้อย  มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ  9.50  คิดเป็นร้อยละ 79.16
                  1.3  ทักษะด้านการเรียงลำดับ ความสูง - เตี้ย  ความยาว - สั้น มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ  9.46  คิดเป็นร้อยละ 78.86
                  1.4  ทักษะการบอกตำแหน่ง  บน - ล่าง  ใน - นอก  ซ้าย - ขวา  หน้า-  หลัง  ตรงกลาง                  มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.53 คิดเป็นร้อยละ 79.46
                  1.5  ทักษะด้านการเปรียบเทียบจำนวน เท่ากัน - ไม่เท่ากัน  มากกว่า - น้อยกว่า  มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.89 คิดเป็นร้อยละ 82.44
                 1.6 ทักษะด้านการนับจำนวน  1-20  และ การรู้ค่าจำนวน 1-10  มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.85  คิดเป็นร้อยละ 82.14  และรวมทุกด้านคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนเท่ากับ 57.82 คิดเป็น                ร้อยละ 80.30
                      2. เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2  มีพัฒนาการทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สูงขึ้น โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยหลังจัดประสบการณ์ สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์ด้วยการเล่นพื้นบ้านไทย                    และแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 1